ชาดกเรื่อง "สุขวิหารี"
ชาดกว่าด้วยสุขอันเกิดจากกา รบรรพชา
สถานที่ตรัสชาดก
อนุปิยอัมพวัน แขวงเมืองอนุปิยนคร
สาเหตุที่ตรัสชาดก
หลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะเ สด็จออกผนวชแล้ว พระภัททิยะ พระอนุชา ได้เสด็จเสวยราชสมบัติกรุงก บิลพัสดุ์สืบต่อสันตติวงศ์ แวดล้อมอยู่ด้วยราชองครักษ์ ผู้ถวายอารักขาอย่างแน่นหนา และใกล้ชิด แต่ยังพระปริวิตกต่อภยันตรา ยอันจะพึงเกิดจากการประทุษร ้ายอยู่เนืองนิจ มิเคยมีความสงบและเป็นสุขเล ย
เมื่อออกผนวชในพระพุทธศาสนา ได้บำเพ็ญเพียรจนหมดกิเลสเป ็นพระอรหันต์ พระเถระเดินทางภิกขาจารไปทุ กหนทุกแห่งโดยลำพัง แต่มีปีติและสุข ด้วยไม่ข้องอยู่กับอิสริยยศ และอันตราย จึงเปล่าอุทาน “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ”
พระภิกษุทั้งหลายผ่านมาได้ย ินเข้าจึงติเตียน และไปกราบทูลให้พระพุทธองค์ ได้ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงระลึกชาติแต่ หนหลัง ด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสแก่พระภิกษุทั้งหลา ยว่า
“ ท่านภัททิยะมิได้เปล่งวาจาอ อกมา เพราะอาลัยในราชสมบัติกรุงก บิลพัสดุ์ และก็มิใช่ต้องการอวดอ้างคว ามเป็นพระอรหันต์ ดังที่พวกเธอทั้งหลายหลงเข้ าใจหรอก นี่คือปกตินิสัยที่ท่านมีมา แต่ชาติปางก่อน ”
พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูล อาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ ้าตรัสเล่าเรื่องราวให้ฟัง
เนื้อหาชาดก
สมัยหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัต ครองกรุงพาราณสี มีพราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ อุทิจจะ เป็นผู้ฉลาดปราดเปรื่องมาก เป็นที่นับถือยกย่อง มีลูกศิษย์มาก ได้พิจารณาเห็นโทษของการครอ งเรือน และเห็นอานิสงส์ของการออกบว ช จึงนำทรัพย์ออกแจกจ่ายเป็นท าน แล้วไปอยู่ในป่าหิมพานต์ บวชเป็นฤาษี ฝึกสมาธิจนได้ณานโลกีย์บรรล ุสมาบัติ ๘ มีลูกศิษย์ ๕๐๐ คน เป็นบริวาร
ในช่วงฤดูฝนไม่เหมาะแก่การเ จริญภาวนา ฤาษีอาจารย์จึงพาศิษย์เข้าม าพำนักในเมือง พระเจ้ากรุงพาราณสี จึงพระราชทานพระราชอุทยานให ้เป็นสถานที่บำเพ็ญภาวนา เมื่อสิ้นฤดูฝน พระเจ้าพาราณสีเห็นว่า พระฤาษีอาจารย์นั้นชราภาพมา กแล้วจึงอาราธนาให้ท่านพำนั กอยู่ต่อ ส่วนลูกศิษย์ก็ให้กลับไปบำเ พ็ญเพียรในป่าหิมพานต์กันเอ งตามลำพัง
วันหนึ่งศิษย์คนโตรู้สึกคิด ถึงอาจารย์ จึงเดินทางไปเยี่ยมเยียนอาจ ารย์ ขณะศิษย์คนโตลงนอนในสำนักพร ะอาจารย์ พระเจ้าพรหมทัตได้เสด็จมาถึ งเพื่อกราบมนัสการฤาษีอาจาร ย์เช่นกัน ฤาษีผู้เป็นศิษย์แม้จะเห็นพ ระเจ้าพรหมทัต ก็มิได้ลุกขึ้นทำการต้อนรับ ตามมารยาทอันดีแต่ประการใด กลับนอนเฉยเสีย ซ้ำยังเปล่งอุทานออกมาอีกว่ า “ สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ ”
พระเจ้าพรหมทัตทอดพระเนตรแล ้ว รู้สึกขัดเคืองพระทัยจึงตรั สถามพระฤาษีอาจารย์ว่า “ ข้าแต่พระผู้เจริญ ดาบสผู้นี้ เห็นทีจะฉันจนอิ่มหนำสำราญม ากเสียแล้ว จึงคร้านที่จะลุกขึ้น ได้แต่นอนเปล่งอุทานสบายอาร มณ์อยู่อย่างนี้ ”
พระฤาษีอาจารย์จึงตอบว่า ศิษย์ผู้นี้เดิมก็เป็นกษัตร ิย์ แต่ที่อุทานออกมาเช่นนี้ ไม่ใช่เพราะอิ่มจัด ไม่ใช่เพราะต้องการกลับไปแส วงหาความสุขจากราชสมบัติ แต่คิดว่าการออกบวชนั้นเป็น สุขจริง ๆ สุขยิ่งกว่าการเป็นกษัตริย์ เป็นสุขสองชั้น
กล่าวคือ สุขที่ไม่ต้องหวาดผวาจากการ ถูกปองร้าย สุขที่ไม่ต้องมีภาระดูแลราช การบ้านเมือง และไม่ตกเป็นภาระแก่ใคร ๆ ให้ต้องคอยปกป้องอารักขาควา มปลอดภัย นับเป็นสุขชั้นแรก อนึ่งสุขจากการบรรลุธรรมเป็ นสุขอันเลิศ ที่ไม่ต้องอาศัยบุคคลและวัต ถุใด ๆ นับเป็นสุขชั้นที่สอง เพราะเหตุนี้ จึงเปล่งอุทานอยู่เสมอ ๆ ว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ”
พระเจ้ากรุงพาราณสีสดับพระธ รรมเทศนาด้วยใจที่เบิกบานแช ่มชื่น เข้าพระทัยแล้วก็มิได้ถือโก รธดาบสผู้นั้น ดาบสผู้ศิษย์เองก็กราบลาพระ อาจารย์กลับสู่ป่าหิมพานต์บ ำเพ็ญเพียรต่อไป ส่วนพระอาจารย์ได้พำนักอยู่ ณ พระราชอุทยานจนสิ้นอายุขัย เมื่อละโลกไปแล้วได้ไปบังเก ิดในพรหมโลก ด้วยอำนาจณานสมาบัติ
ประชุมชาดก
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประช ุมชาดกว่า ศิษย์ผู้เป็นหัวหน้า ได้เกิดมาเป็นภัททิยะพระฤาษ ีอาจารย์ ได้เกิดมาเป็นพระองค์เอง
ข้อคิดจากชาดก
บุคคลแม้มีจิตใจใสสะอาด แต่กิริยามารยาทยังสำรวมระว ังไม่พอ ก็อาจมีผู้เข้าใจผิด คิดเป็นศัตรูได้ โบราณจึงเตือนว่า
“ อยู่คนเดียวให้ระวังความคิด อยู่กับมิตรให้ระวังวาจา
อยู่ท่ามกลางปวงประชา ให้ระวังทั้ง กาย วาจา ใจ ”
อยู่ท่ามกลางปวงประชา ให้ระวังทั้ง กาย วาจา ใจ ”
ขอบคุณ ภาพ จากอินเตอร์เน็ต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น