วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ชาดกเรื่อง "สานุสามเณร"



ชาดกเรื่อง "สานุสามเณร"

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภสามเณรชื่อสานุ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า อิทํ ปุเร เป็นต้น

สานุสามเณร บวชเป็นสามเณรตั้งแต่เด็ก เมื่ออายุมากขึ้น มีความต้องการจะสึกออกไปเป็นฆราวาส จึงไปที่บ้านและขอเสื้อผ้าชุดฆราวาสที่จะสวมใส่จากโยมมารดา ข้างโยมมารดาไม่ต้องการให้สามเณรสึก และได้พยายามเกลี้ยกล่อมให้เห็นโทษของการเป็นฆราวาส แต่สามเณรยืนกรานว่าจะต้องสึกให้ได้ โยมมารดาจึงบอกว่าจะจัดเสื้อผ้าให้แต่สามเณรต้องฉันภัตตาหารให้เรียบร้อยเสียก่อน ขณะโยมมารดากำลังตระเตรียมอาหารอยู่นั้นเอง นางยักษิณี ซึ่งเคยเป็นมารดาของสานุสามเณรมาตั้งแต่อดีตชาติ มีความคิดที่จะยับยั้งสามเณรไม่ให้สึกจึงเข้าสิงร่างของสามเณร ทำการบิดคอสามเณร จนตาสองข้างถลน น้ำลายไหลออกมาจากปาก ล้มลงที่พื้นดิน โยมมารดาออกจากครัวมาเห็นเช่นนั้นก็ตกใจ รีบช้อนบุตรให้มานอนบนตัก ส่วนพวกเพื่อนบ้านก็มาช่วยกันเซ่นสรวงบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เมื่อสามเณรฟื้นคืนสติมาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนางยักษิณีและโยมมารดาของสามเณรได้ช่วยกันเตือนสติสามเณรให้มองเห็นโทษในการครองเรือน เช่น สอนว่าการเข้ามาบวชเป็นภิกษุหรือสามเณรนั้นก็เหมือนกับคนขึ้นมาจากเหวได้แล้ว การสึกออกไปเป็นฆราวาสก็เหมือนกับตกลงไปในเหวอีก คนมาบวชนั้นก็เหมือนกับสิ่งของที่จะถูกไฟไหม้ แต่ถูกยกหนีออกจากไฟได้สำเร็จ การสึกออกไปเป็นฆราวาสก็ไม่ผิดอะไรกับจะเอาสิ่งของนั้นไปใส่ให้ไฟไหม้อีกครั้งหนึ่ง และหากสามเณรสึกออกไปเป็นฆราวาสแล้วก็จะไม่สามารถพ้นจากทุกข์ได้ ในที่สุดทั้งสองนางก็สามารถชี้ชวนสามเณรได้สำเร็จ สามเณรรับปากว่าจะไม่สึกออกไปเป็นฆราวาส เมื่อโยมมารดาสอบถามอายุของสามเณรแล้วทราบว่าอายุครบบวชเป็นภิกษุได้แล้ว ก็ได้จัดแจงผ้าไตรจีวรและบาตร ให้เข้ารับการอุปสมบทเป็นภิกษุ

เมื่อได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุจากพระศาสดาแล้ว พระศาสดาได้ตรัสสอนเรื่องการข่มจิตแก่ภิกษุสานุผู้บวชใหม่ว่า “ธรรมดาว่าจิตนี้ เที่ยวจาริกไปในอารมณ์ต่างๆตลอดกาลนาน ชื่อว่าความสวัสดี ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ข่มจิตนั้นลงไปได้ เพราะฉะนั้น บุคคลจึงควรทำความเพียรในการข่มจิต เหมือนนายหัตถาจารย์ทำความพยายามในการข่มช้างซับมันด้วยขอฉะนั้น”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

อิทํ ปุเร จิตฺตมจาริ จาริกํ
เยนิจฺฉกํ ยตฺถกมฺมํ ยถาสุขํ
ตทชฺชหํ นิคฺคหิสฺสามิ โยนิโส
หตฺถึ ปภินฺนํ วิย องฺกุสคฺคาโห ฯ

เมื่อก่อน จิตนี้ได้เที่ยวจาริกไป
ตามอาการที่ปรารถนา ตามอารมณ์ที่ใคร่ และตามสบาย
วันนี้ เราจักข่มมันด้วยโยนิโสมนสิการ
ประหนึ่งนายควาญช้าง ข่มช้างที่ซับมันฉะนั้น.

เมื่อพระธรรมเทศนาจบลง การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่เทวดาเป็นอันมาก ผู้เข้าไปเพื่อสดับธรรมพร้อมกับพระสานุ
พระคัมภีร์กล่าวถึงประวัติของพระสานุรูปนี้ต่อไปว่า ท่านเล่าเรียนพระไตรปิฎก และได้เป็นพระธรรมกถึกที่เชี่ยวชาญ ได้เป็นกำลังสำคัญในการเผยแพร่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ขจรขยายไปทั่วชมพูทวีป และได้ปริพพานเมื่อมีอายุได้ 120 ปี


ข้อคิดจากชาดก

บุคคลผู้ข่มจิตมิให้คล้อยตามกิเลสโดยง่าย จะเป็นผู้มีปัญญาไม่ลุ่มหลงไปกับความอยากในกิเลส




ขอบคุณบทความจาก :http://dhammapadasstories.blogspot.com

ขอบคุณ ภาพ จากอินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น